AWS Local Billing: วิธีการจ่ายเงินของ Public Cloud
AWS Local Billing คือโซลูชันการชำระเงินสำหรับบริการ Public Cloud ที่ช่วยให้องค์กรไทยจ่ายค่าบริการเป็นสกุลเงินบาทได้โดยตรง พร้อมใบกำกับภาษีถูกต้องตามกฎหมาย ช่วยลดความยุ่งยากด้านภาษีและอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้บริหารค่าใช้จ่าย Cloud ได้ง่าย โปร่งใส และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
วิธีการจ่ายเงินของ Public Cloud: AWS Local Billing ลดปัญหาการจ่าย
ทุกวันนี้ องค์กรจำนวนมากหันมาใช้บริการ Cloud เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลดต้นทุนโครงสร้างพื้นฐาน แต่หนึ่งในปัญหาที่หลายธุรกิจเจอคือ วิธีการจ่ายเงินของ Public Cloud ที่มักซับซ้อน คาดเดายาก และยังต้องชำระเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ ทำให้การควบคุมค่าใช้จ่ายและจัดการบัญชีไม่ง่ายนัก โชคดีที่ปัจจุบันมีทางเลือกอย่าง AWS Local Billing ที่ช่วยให้องค์กรไทยสามารถจัดการบิลได้อย่างโปร่งใสและง่ายขึ้น รวมถึงช่วย ลดปัญหาจ่าย AWS ได้จริง
วิธีการจ่ายเงินของ Public Cloud สำหรับองค์กรไทย
ในประเทศไทย ผู้ให้บริการ Public Cloud ที่องค์กรนิยมใช้มีอยู่หลายเจ้า เช่น AWS (Amazon Web Services), Microsoft Azure, และ Google Cloud Platform (GCP) จุดแข็งของบริการเหล่านี้คือความยืดหยุ่น ความพร้อมใช้งานระดับโลก และการคิดค่าบริการแบบ “Pay-as-you-use” หรือจ่ายตามการใช้งานจริง ซึ่งช่วยให้องค์กรไม่ต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานล่วงหน้า
แต่ในมุมของผู้ใช้งาน โดยเฉพาะองค์กรไทย ปัญหาที่พบได้บ่อยคือ
- การคิดค่าบริการที่ซับซ้อน: Cloud มีบริการย่อยจำนวนมาก เช่น การเก็บข้อมูล การประมวลผล การส่งข้อมูล แต่ละบริการก็มีโมเดลการคิดราคาแตกต่างกัน ทำให้เข้าใจยาก
- ค่าใช้จ่ายคาดการณ์ยาก: หลายองค์กรตั้งงบประมาณไว้ แต่สุดท้ายค่าใช้จ่ายสูงกว่าที่คิดเพราะการใช้งานจริงมักเกินแผนที่วางไว้
- ความยุ่งยากด้านบัญชีและภาษี: ผู้ให้บริการ Cloud ส่วนใหญ่คิดค่าบริการเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) องค์กรไทยจึงต้องรับมือกับอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน และไม่สามารถนำค่าใช้จ่ายไปหักภาษีได้อย่างถูกต้องหากไม่มีใบกำกับภาษี
Local Billing หรือการออกบิลในประเทศจึงเข้ามาแก้ปัญหานี้ได้อย่างตรงจุด เพราะช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถ:
- ชำระเงินในสกุลบาท ไม่ต้องกังวลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน
- ได้เอกสารใบกำกับภาษีที่ถูกต้อง
- บริหารจัดการการเงินและการตรวจสอบบัญชีได้ง่ายขึ้น
Public cloud มีอะไรบ้าง และทำไมองค์กรนิยมใช้

Public Cloud หมายถึงบริการ Cloud ที่เปิดให้ผู้ใช้งานหลายองค์กรใช้ร่วมกันผ่านอินเทอร์เน็ต โดยผู้ให้บริการเป็นผู้ดูแลโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมด
ประเภทของ Public Cloud
Public Cloud แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ตามลักษณะการให้บริการ:
- IaaS (Infrastructure as a Service)
เป็นบริการให้เช่า โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ลูกค้าไม่ต้องลงทุนฮาร์ดแวร์เอง เช่น เซิร์ฟเวอร์ พื้นที่จัดเก็บข้อมูล หรือเครือข่าย
ตัวอย่างบริการ: AWS EC2
- PaaS (Platform as a Service)
เป็นบริการให้ แพลตฟอร์มสำหรับพัฒนาและรันแอปพลิเคชัน โดยผู้ให้บริการดูแลโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมด ลูกค้าสามารถโฟกัสไปที่การพัฒนาแอป ไม่ต้องกังวลเรื่องเซิร์ฟเวอร์ ระบบปฏิบัติการ หรือการปรับสเกล
ตัวอย่างบริการ: AWS Elastic Beanstalk
- SaaS (Software as a Service)
เป็นบริการซอฟต์แวร์สำเร็จรูปที่ใช้งานผ่านเว็บหรือแอป ลูกค้าไม่ต้องติดตั้งหรือดูแลระบบเอง เพียงสมัครใช้งานก็สามารถเริ่มใช้งานได้ทันที
ตัวอย่างบริการ: Google Workspace, Microsoft 365
เหตุผลที่องค์กรถึงนิยม Public Cloud
- Flexibility – ความยืดหยุ่นสูง
องค์กรสามารถปรับการใช้งานได้ตามความต้องการ เช่น เพิ่มหรือลดจำนวนเซิร์ฟเวอร์ ปรับพื้นที่จัดเก็บข้อมูล หรือเปลี่ยนบริการตามความจำเป็น เหมาะกับธุรกิจที่มีปริมาณงานไม่สม่ำเสมอ หรือต้องการทดลองบริการใหม่โดยไม่ต้องลงทุนหนัก
- Pay-as-you-use – จ่ายตามการใช้งานจริง
ไม่มีต้นทุนลงทุนฮาร์ดแวร์หรือศูนย์ข้อมูล ช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี เพราะจ่ายเฉพาะทรัพยากรที่ใช้งานจริง เหมาะกับองค์กรที่ต้องการลดต้นทุนและความเสี่ยงทางการเงิน
- Scalability – ขยายระบบได้ง่าย
รองรับการเติบโตของธุรกิจทันทีโดยไม่ต้องลงทุนซื้ออุปกรณ์เพิ่ม องค์กรสามารถตอบสนองต่อปริมาณผู้ใช้งานหรือข้อมูลที่เพิ่มขึ้นได้รวดเร็ว ลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการปรับขยายระบบไอที
นอกจากนี้ Public Cloud ยังช่วยให้ เข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ทันที เช่น AI, Analytics, Database Services โดยไม่ต้องลงทุนสร้างระบบเอง แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักคือ Pricing Plan ที่ซับซ้อน ทำให้องค์กรต้องระมัดระวังเรื่องงบประมาณ
ระบบจ่ายเงิน Public Cloud เป็นแบบไหน

โดยทั่วไป บริการ Public Cloud เช่น AWS จะคิดค่าบริการใน สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) ซึ่งอาจสร้างความยุ่งยากให้กับองค์กรในไทย ได้แก่:
- ความผันผวนของค่าเงิน: ทำให้ค่าใช้จ่ายจริงเปลี่ยนแปลงตามอัตราแลกเปลี่ยน
- ระบบการคิดบิลที่ซับซ้อน: มีหลายปัจจัย ทั้งการใช้งานจริง ค่าทรัพยากรเสริม และบริการเพิ่มเติม
- ไม่มีบัตรเครดิตองค์กร: หลายบริษัทในไทยไม่มี corporate credit card ทำให้ต้องใช้บัตรส่วนตัวของพนักงาน ส่งผลต่อการจัดการบัญชีและภาษีที่ยุ่งยากขึ้น
นี่จึงเป็นที่มาของ Local Billing ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์องค์กรไทย
ลดปัญหาจ่าย AWS ด้วย Local Billing
AWS Local Billing คือการออกบิลและรับชำระเงินในประเทศไทย โดยมีข้อดีหลัก ๆ ดังนี้:
- ชำระเงินเป็นเงินบาท: ลูกค้าสามารถจ่ายค่าบริการ AWS เป็นเงินบาทไทยได้โดยตรง ช่วยลดความยุ่งยากและความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
- อำนวยความสะดวกด้านบัญชี: สามารถออกใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบในประเทศไทยได้ ทำให้การบริหารจัดการด้านการเงินและบัญชีขององค์กรสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- Credit Term: องค์กรอาจได้รับ Credit Term ในการชำระเงิน ทำให้มีเครดิตในการชำระค่าบริการ
- การสนับสนุน: ผู้ให้บริการ Local Billing เช่น Com7 จะให้คำปรึกษา ออกแบบ และสนับสนุนการจัดการบริการ AWS
- ช่องทางการชำระเงินที่หลากหลาย: สามารถเลือกช่องทางการชำระเงินได้ตามความสะดวก เช่น การโอนเงินผ่านธนาคารหรือเช็ค
นอกจากนี้ AWS ยังมีเครื่องมือ Cost Management เช่น AWS Cost Explorer และ Budgets ที่ช่วยองค์กรวางแผนและควบคุมค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น เมื่อรวมกับ Local Billing ยิ่งทำให้การใช้งาน Public Cloud มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับกฎระเบียบท้องถิ่นมากกว่าเดิม
สรุป วิธีการจ่ายเงิน Public Cloud ที่ตอบโจทย์ธุรกิจไทย
ปัญหาที่หลายองค์กรพบจากการใช้ Public Cloud ได้แก่ ค่าบริการที่ซับซ้อน คาดเดายาก และต้องชำระเป็นสกุลเงินต่างประเทศ ซึ่งไม่สะดวกทั้งด้านการเงินและภาษี Local Billing จึงกลายเป็นทางออกที่เหมาะสำหรับองค์กรไทย เพราะสามารถชำระเงินเป็นสกุลบาท พร้อมมีใบกำกับภาษีถูกต้องตามกฏหมาย
สำหรับธุรกิจที่กำลังใช้งานหรือวางแผนย้ายไป Cloud การเลือกผู้ให้บริการที่มี Local Billing อย่าง AWS จะช่วยลดความซับซ้อน และทำให้องค์กรสามารถโฟกัสไปที่การพัฒนาธุรกิจได้เต็มที่
ยกระดับการจัดการ Cloud ของคุณด้วย AWS Local Billing ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเราที่ Com7